การนั่งทำงานนาน ๆ อยู่ในท่าเดิม ๆ อาจทำให้มีอาการปวดหลังส่วนล่างกันบ้าง ทว่าหากอาการนี้เป็นเรื้อรังและทำท่าจะทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่ควรวางใจหรือทำเฉย ๆ ไป เพราะอาการปวดหลังส่วนล่างอาจเป็นลางของหลายโรค ดังนั้นมาเช็กกันเลยดีกว่าว่าอาการปวดหลังของเราหนักแค่ไหน หรือมีความเสี่ยงโรคอะไรอยู่หรือเปล่า
อาการปวดหลังส่วนล่าง มีชื่อภาษาอังกฤษ คือ Low back pain เป็นอาการปวดหลังในตำแหน่งชายโครง ก้นกบ รวมไปถึงส่วนล่างของแก้มก้น โดยจะรู้สึกปวดในส่วนของกล้ามเนื้อ หมอนรองกระดูกสันหลัง และข้อต่อกระดูกสันหลัง และหากเป็นมาก ๆ อาการปวดอาจร้าวลงขา ลามไปน่อง จนกระทบกับการใช้ชีวิตตามปกติได้ ทั้งนี้ อาการปวดหลังแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
- ปวดหลังเฉียบพลัน คือ อาการปวดหลังที่เป็นตั้งแต่ 2-3 วัน ไปจนถึง 2-3 สัปดาห์
- ปวดหลังเรื้อรัง คือ อาการปวดหลังที่นานกว่า 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนขึ้นไป
อาการปวดหลังส่วนล่างเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้
สาเหตุจากพฤติกรรม
- อ้วนเกินไป น้ำหนักเกิน ทำให้กระดูกต้องรับน้ำหนักมาก
- การนั่ง ยืน ผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ
- นอนหรือนั่งอยู่ในท่าเดิมซ้ำ ๆ
- การทำงานที่ต้องอยู่ในท่าก้มตลอดเวลา หรือติดต่อกันนาน ๆ
- ไม่ออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
- การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาบางชนิดที่ต้องเอี้ยวตัวเป็นเวลานาน เช่น ตีกอลฟ์ เทนนิส โบว์ลิ่ง
- การเคลื่อนไหวที่มีการสั่นสะเทือนตลอดเวลา เช่น นั่งในรถที่ขับไปบนทางขรุขระเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น
- การใช้งานร่างกายอย่างหักโหมเกินไป โดยเฉพาะส่วนเอวและหลัง ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ได้ง่าย
สาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
- อาการปวดหลังส่วนล่างผู้หญิงบางคนเกิดในช่วงก่อนประจำเดือนมา 1-2 วัน หรือขณะที่มีประจำเดือน หลังจากนั้นอาการจะหายไปเอง
- ตั้งครรภ์ ต้องแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากน้ำหนักของทารกในครรภ์
- เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บบริเวณหลังส่วนล่าง หรือเอวเป็นต้นไป
สาเหตุจากโรคที่ซ่อนอยู่
อาการปวดหลังส่วนล่างยังเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ เช่
โรคเอ็นและกล้ามเนื้อหลังอักเสบ (Acute back strain)
ทำให้มีอาการหลังแข็ง แอ่นตัวไม่ค่อยได้ หากกดที่กล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกสันหลังจะรู้สึกเจ็บ แต่ไม่มีอาการปวดหลังร้าวลงขา และส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ยกเว้นกรณีที่หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท หรือมีกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุ
โรคที่เกี่ยวข้องกับหมอนรองกระดูก
เมื่ออายุมากขึ้นก็จะเสี่ยงเพิ่มขึ้น หรือมักเกิดฉับพลันหลังยกของหนัก ยกของผิดท่า หรือในกรณีที่หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท มักจะมีอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดหลังเรื้อรังร้าวลงขา มีอาการเสียวแปล๊บที่น่อง ที่เท้าร่วมด้วย และจะมีอาการปวดหลังเป็น ๆ หาย ๆ เป็นเวลานานมากกว่า 2 สัปดาห์
โรคกระดูกพรุน
มักพบในผู้สูงอายุโดยเฉพาะเพศหญิง สาเหตุเกิดจากการสูญเสียมวลกระดูกเป็นเวลานาน เนื่องจากขาดสารอาหารอย่างแคลเซียม วิตามินดี และขาดการออกกำลังกาย ทำให้กระดูกบางลงจนยุบตัวลง นำไปสู่อาการปวดหลัง และถ้าไม่รีบรักษาอาจส่งผลถึงขั้นกระดูกหักได้เลย
โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal stenosis)
เกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังและข้อกระดูก ทำให้เกิดพังผืดขึ้นหนา หรือมีส่วนที่งอกไปกดเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดหลังร้าวไปที่ก้น ปวดเอว น่องชายิบ ๆ เหมือนมดไต่เมื่อยืนนาน ๆ หรือเดินไกล แต่พักสักครู่อาการก็จะดีขึ้น โดยโรคนี้จะเริ่มค่อยเป็นค่อยไป และอาจกินเวลาเป็นปี
กระดูกสันหลังคด (Abnormal spine curvatures)
โรคนี้มักจะตรวจพบตั้งแต่วัยเด็กหรือวัยรุ่น โดยจะมาด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง ลำตัวคดเบี้ยวผิดรูป ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณแนวกระดูกสันหลัง
โรคไต
ไตเป็นอวัยวะที่อยู่บริเวณช่วงหลังด้านล่าง ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงรู้สึกปวดหลังส่วนล่าง บั้นเอว บริเวณชายโครง ร้าวไปถึงท้องน้อย หัวหน่าว และอวัยวะเพศได้ โดยเฉพาะหากมีภาวะไตอักเสบ มีการอุดกั้นที่ท่อไต แต่ทั้งนี้ก็ควรสังเกตอาการโรคไตอื่น ๆ ร่วมด้วย
โรคนิ่วในไต
ซึ่งอาจมีอาการปวดหลังส่วนล่าง และส่วนมากจะปวดข้างเดียว
ซีสต์ในรังไข่ (Ovarian Cysts)
ถุงน้ำในรังไข่มีหลายรูปแบบ และสาว ๆ ที่มีภาวะนี้ก็มักจะมีภาวะประจำเดือนมาไม่ปกติ พุงป่อง ท้องโต ปวดประจำเดือน ปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อย ท้องอืด คลำเจอก้อนที่หน้าท้อง ปวดหลังส่วนล่างและปวดต้นขา รวมไปถึงมีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งควรต้องรีบรักษานะคะ เพราะหากถุงน้ำแตกก็เสี่ยงเสียชีวิตได้เลย
โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
โรคที่เยื่อบุโพรงมดลูกไปอยู่นอกมดลูก ซึ่งอาจกดทับกระเพาะปัสสาวะ หรือไต ทำให้มีอาการปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อย ปวดประจำเดือนมาก และเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของอาการปวดหลังส่วนล่างในผู้หญิง
โรคมะเร็ง
โดยเฉพาะมะเร็งกระดูกสันหลัง และมะเร็งส่วนอื่น ๆ ที่กระจายมาที่กระดูกสันหลัง
โควิดสายพันธุ์โอมิครอน
อาการโควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีความแตกต่างจากโควิด 19 สายพันธุ์อื่นเล็กน้อย และหนึ่งในนั้นคืออาการปวดหลังส่วนล่าง ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ตามต้องสังเกตอาการบ่งชี้โควิดอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น เจ็บคอ น้ำมูกไหล จาม อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เหงื่อออกมากตอนกลางคืน และอาจทำให้เหงื่อออกชุ่มเสื้อผ้า แม้จะเปิดแอร์นอนก็ตาม หากมีอาการดังที่กล่าวมา ควรตรวจ ATK หรือ RT-PCR เพื่อดูว่าติดโควิดแล้วหรือไม่
นอกจากนี้อาการปวดหลังส่วนล่างยังอาจเป็นสัญญาณของโรคดังต่อไปนี้
- กระดูกหรือข้อต่ออักเสบ
- ไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) อาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
- โรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบชนิดยึดติด (Spondylitis)
- โรคกระดูกสันหลังเสื่อม
- โรคกระดูกสันหลังติดเชื้อ
- โรคการอักเสบบริเวณต่าง ๆ ที่ไม่ใช่การติดเชื้อ
ปวดหลังส่วนล่าง ใครเสี่ยงบ้าง
กลุ่มคนที่ค่อนข้างเสี่ยงจะมีอาการปวดหลังส่วนล่าง ได้แก่
- ผู้สูงอายุ
- ผู้มีน้ำหนักเกิน หรืออ้วน
- ผู้ที่มีกรรมพันธุ์ที่ทำให้มีความผิดปกติของกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ
- ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย
- ผู้ป่วยโรคจิตเวช เพราะความเครียดส่งผลให้ประสาทส่วนต่าง ๆ ของร่างกายผิดปกติได้
- ผู้ที่สูบบุหรี่ เนื่องจากสารพิษในบุหรี่จะขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจนที่ไปเลี้ยงหมอนรองกระดูก ทำให้เกิดความเสื่อมเร็วขึ้น
- เด็กนักเรียนที่แบกเป้หรือสะพายกระเป๋าหนัก ๆ เป็นเวลานาน
- ผู้มีอาชีพที่ต้องนั่งนาน ๆ หรือยืนท่าเดิมนาน ๆ เช่น พนักงานออฟฟิศ พนักงานเก็บเงินตามห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เป็นต้น
- ผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์โอมิครอน (บางรายอาจมีอาการ)
ปวดหลังส่วนล่าง รักษายังไง
การรักษาอาการปวดหลังส่วนล่าง นอกจากรักษาตามอาการป่วยแล้ว ยังสามารถบรรเทาอาการปวดหลังส่วนล่าง ตามนี้
- นอนพัก 2-3 วัน ลดการเคลื่อนไหวร่างกายที่อาจกระทบกระเทือนหลังส่วนล่าง
- ให้ความรู้เกี่ยวกับการเดิน การนั่ง ท่ายกของที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังส่วนล่างได้
- รักษาด้วยยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบ เป็นต้น
- การนวด
- การประคบร้อน หรือประคบเย็น
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เช่น ฝึกโยคะ
- ทำกายภาพบำบัด
- การจัดกระดูก
- การฝังเข็ม การครอบแก้ว ตามแบบฉบับแพทย์แผนจีน
- รักษาด้วยการผ่าตัดจุดที่เป็นสาเหตุของปัญหา ในกรณีที่กระทบต่อเส้นประสาท หมอนรองกระดูก หรือกระดูกสันหลัง ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ปวดหลังส่วนล่าง ป้องกันได้ไหม
วิธีป้องกันอาการปวดหลังส่วนล่าง สามารถทำได้โดย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
- รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่อ้วนจนเกินไป
- นั่งและยืนในท่าที่ถูกต้อง โดยเฉพาะหากต้องนั่งทำงานนาน ๆ ควรจัดหาโต๊ะ เก้าอี้ที่ช่วยให้นั่งสบาย ไม่เสี่ยงนั่งผิดท่า หรือต้องก้มเป็นเวลานาน ๆ
- พยายามเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ
- หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ควรเลือกใส่รองเท้าที่เดินสบาย เช่น รองเท้าส้นเตี้ย
- นอนให้ถูกท่า
- พยายามอย่ายกหรือแบกของหนัก ๆ ถ้าต้องยกของ อย่าก้มตัวลงไป แต่ให้งอเข่า หลังตรง แล้วใช้แรงขาดันตัวขึ้นมา
- งดสูบบุหรี่
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังส่วนล่างเป็นเวลานานก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการปวดที่แท้จริง เพราะไม่ว่าความป่วยใด ๆ ก็ตาม หากพบเจอตั้งแต่ระยะแรก ๆ ก็มีโอกาสและทางเลือกในการรักษาให้หายเป็นปกติได้มากขึ้น
MW Wellness มีโปรแกรมดูแลรักษาอาการปวด เช่นนวดกดจุดแก้อาการ นวดออฟฟิศซินโดรม และกายภาพบำบัด
สามารถปรึกษาได้ ฟรี! และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Line: @mw-wellness
Tel: 096-081-2533, 02-276-5093
MW-Wellness
205 29-30 ถ. รัชดาภิเษก แขวงดินแดง
เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
02-276-5093, 02-276-5076
clinic.mw@gmail.com
Opening Hours :
Mon - Sun 10:00 - 19:00Mon - Sun 10:00 - 19:00
Social Media :