MWWellness อั้นอุจจาระบ่อยๆ เสี่ยงอันตรายยังไง

ศูนย์ดูแลสุขภาพ และล้างพิษครบวงจร อั้นอุจจาระบ่อยๆ เสี่ยงอันตรายยังไง

MWWellness บางท่านชอบอั้นการถ่ายหนัก-ถ่ายเบาไว้ ยิ่งกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่นั่งทำงานติดพัน หรือผู้ที่เดินทางบ่อยๆ แล้วไม่สะดวกจะเข้าห้องน้ำ ทำให้มีพฤติกรรมอั้นอุจจาระไว้ไม่ยอมขับถ่าย ซึ่งการที่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการฝึกพฤติกรรมทำร้ายสุขภาพตัวเองนะ มาดูกันว่าการอั้นอุจจาระส่งผลเสียกับร่างกายยังไงบ้าง

อั้นอุจจาระบ่อยๆ  เสี่ยงอันตรายยังไง

อั้นอุจจาระบ่อยๆ เสี่ยงอันตรายยังไง


การอั้นอุจจาระบ่อยๆ เสี่ยงอันตรายยังไงบ้าง ?

ปวดถ่ายอย่าไปกลั้น เพราะส่งผลต่อสุขภาพได้มากมาย !!

บางท่านชอบอั้นการถ่ายหนัก-ถ่ายเบาไว้ ยิ่งกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่นั่งทำงานติดพัน หรือผู้ที่เดินทางบ่อยๆ แล้วไม่สะดวกจะเข้าห้องน้ำ ทำให้มีพฤติกรรมอั้นอุจจาระไว้ไม่ยอมขับถ่าย ซึ่งการที่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่างจากการฝึกพฤติกรรมทำร้ายสุขภาพตัวเองนะ มาดูกันว่าการอั้นอุจจาระส่งผลเสียกับร่างกายยังไงบ้าง...

 

อันตรายยังไรบ้าง ถ้ากลั้นอุจจาระไว้ไม่ยอมถ่าย ?

1. ระบบขับถ่ายรวน ติดนิสัยถ่ายไม่เป็นเวลา

เวลารู้สึกปวดแต่ไม่ยอมถ่ายก็เหมือนพลาดช่วงเวลาที่ลำไส้พร้อมบีบตัวขับถ่ายของเสียออกมาอย่างเต็มที่ ยิ่งหากหันเหไปทำกิจกรรมอื่นเพลินๆ อาการอยากถ่ายก็จะหายไป จนในที่สุดก็อาจไม่ถ่ายเลยในวันนั้น ซึ่งถ้าเราบ่มเพาะนิสัยกลั้นอุจจาระบ่อยๆ ร่างกายอาจเรียนรู้ว่าเราไม่อยากถ่าย ทำให้ระบบขับถ่ายรวน ถ่ายไม่เป็นเวลาได้

2. ท้องผูก

การที่มีอุจจาระคาอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้น้ำในอุจจาระถูกดูดออกไป จนอุจจาระที่เตรียมถูกปลดปล่อยมีมวลน้ำเหลือน้อย และเกิดการแข็งตัวมากขึ้น เวลาขับถ่ายออกก็จะลำบากจนอาจกลายเป็นอาการท้องผูก ถ่ายยากในที่สุด

3. สะสมของเสียในร่างกาย

อย่างที่บอกว่าหากไม่ยอมขับถ่าย ร่างกายจะดึงเอาน้ำในอุจจาระกลับมาวนใช้งาน ซึ่งไม่ต้องบอกก็น่าจะเดาได้ว่าน้ำในอุจจาระก็คือของเสียทั้งนั้น เท่ากับว่าการกลั้นอุจจาระไว้อาจเปิดโอกาสให้สารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายได้ง่ายอย่างคาดไม่ถึง !

4. อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ไม่สดชื่น

หากร่างกายดูดน้ำจากอุจจาระกลับไปใช้ สารพิษตกค้างต่างๆ รวมไปถึงเชื้อโรคอาจย้อนกลับไปเล่นงานร่างกายให้รู้สึกเนือยๆ จากอาการอึดอัดท้องเพราะไม่ได้ขับถ่าย ลามมาเป็นอาการคลื่นไส้ ไม่สดชื่น และรู้สึกอ่อนเพลียตามมาได้

5. อุจจาระอุดตัน

ความเสี่ยงนี้ถือเป็นขั้นหนักกว่าของอาการท้องผูก ที่มักจะเกิดกับคนชอบอั้นอุจจาระ หรือคนที่มีปัญหาระบบขับถ่ายไม่ปกติอื่นๆ จนเกิดการสะสมของอุจจาระ อัดแน่นกันอยู่ตรงบริเวณปลายลำไส้ ซึ่งหากไม่ได้ขับถ่ายหลายๆ วัน อุจจาระที่ค้างอยู่นี้ก็จะแห้ง แข็ง จนร่างกายไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระออกมาได้ง่ายๆ ส่งผลให้มีอาการท้องผูกเรื้อรังเป็นเวลานาน

6. ริดสีดวงทวาร

การอั้นอุจจาระทำให้ระบบขับถ่ายรวน อุจจาระแข็งตัวเพราะเหลือน้ำน้อย ท้องผูก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นสาเหตุให้เสี่ยงโรคริดสีดวงทวารได้ง่ายๆ เลย ยิ่งหากมีอาการถ่ายยากๆ ต้องเบ่งถ่าย หรือก้อนอุจจาระแข็งจนบาดปากทวารหนักบ่อยๆ อาจทำให้เนื้อด้านในทวารหนักเกิดบาดแผล หรือปลิ้นออกมาด้านนอก เสี่ยงที่จะขับถ่ายแล้วจะมีเลือดออกได้อีกด้วย

7. มะเร็งลำไส้

แน่นอนว่าการที่ท้องผูกเรื้อรังจนสะสมเชื้อโรคจากอุจจาระไว้บ่อย ๆ และต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายเสี่ยงการอักเสบติดเชื้อได้บ่อยด้วยเช่นกัน และสถานการณ์นี้ก็จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ได้มากขึ้นไปด้วย

เห็นไหมว่าแค่ไม่ยอมขับถ่าย มัวแต่กลั้นไว้จนติดเป็นนิสัยก็ส่งผลต่อสุขภาพได้มากขนาดนี้ ดังนั้นปวดอุจจาระเมื่อไรอย่าไปกลั้นไว้ รีบขับถ่ายเพื่อให้กลไกต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างราบรื่นจะดีกว่า โดยเริ่มจากการปรับพฤติกรรมตัวเองก่อนเลย

 

10 วิธีทำให้ขับถ่ายเป็นเวลา บอกลาอาการท้องผูก ด้วยวิธีง่ายๆ ช่วยให้ถ่ายได้ทุกเช้า

1. รีบลุกมาเข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้า

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของการเข้าห้องน้ำก็คือช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 05.00-07.00 น. หรือถ้าอยู่ในช่วงเช้าก็ยังพอไหว แต่สำหรับคนที่ไม่ชินกับการเข้าห้องน้ำตอนเช้า ก็ต้องเริ่มฝึกกันใหม่ แต่ถ้าไม่ปวดก็ไม่ต้องเบ่ง เพราะมันจะปวดเป็นช่วงๆ ถ้าช่วงไหนปวดก็เบ่งตาม หากไม่ปวดแล้วเบ่ง เคสนี้อาจมีเพื่อนชื่อริดสีดวงแวะมาทักทาย

2. อย่าขัดใจอุนจิ

รู้สึกปวดอุจจาระตอนไหนให้เข้าห้องน้ำตอนนั้น โดยเฉพาะหากปวดถ่ายในช่วงเช้า กรณีนี้ยิ่งห้ามอั้นโดยเด็ดขาด เพราะนี่คือนาทีทองที่จะทำให้เราได้ถ่าย และหากอั้นอุจจาระเอาไว้ คราวนี้อาจไม่รู้สึกปวดอีกเลยตลอดวัน

3. นวดลำไส้

ถ้ายังถ่ายยากอีกทีนี้ให้ลองนวดลำไส้ โดยนวดตั้งแต่ตอนกลางคืนเลย เริ่มจากเอามือนวดที่ท้องส่วนล่างซ้าย ซึ่งเป็นที่อยู่ของลำไส้ใหญ่ คลำจนพบลำของกากอาหารแล้วก็กดลงเบา ๆ เป็นระยะ สักประมาณ 5 นาที พอตื่นขึ้นมาก็ดื่มน้ำอุ่นสักแก้ว รอสักพัก อาการปวดก็จะมา หรือให้นวดลำไส้ที่เดิมอีกสักรอบ โดยค่อย ๆ นวดเบา ๆ ดันลงไปด้านล่าง สักพักก็จะรู้สึกปวดอยากถ่ายขึ้นมา แต่หากว่านั่งถ่ายแล้วยังไม่ออกก็ให้ลุกขึ้นเดินสักพัก อย่านั่งแช่ เพราะน้องริดซี่อาจมาได้

4. นวดกดซ้ำอีกครั้ง

หากนวดลำไส้แล้วยังไม่รู้สึกอยากถ่าย คราวนี้ลองลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วขณะที่นั่งอยู่บนโถส้วม ให้ใช้ฝ่ามือนวดหน้าท้อง โดยวนตามเข็มนาฬิกาหลาย ๆ รอบ แขม่วท้องไว้ด้วย ลองดูสักพักอาการปวดถ่ายจะมา

5. ดื่มน้ำอุ่นแก้วใหญ่ๆ

ตื่นมาให้ดื่มน้ำอุ่นๆ 1 แก้วใหญ่ จากนั้นก็ทำกิจวัตรประจำวันตามปกติ น้ำอุ่นจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น หลอดเลือดต่างๆ ก็จะขยายใหญ่กว่าปกติ ไล่ให้สิ่งที่ค้างอยู่ในลำไส้ทยอยลำเลียงกันออกมา คราวนี้เราก็โล่งสบายท้องแล้ว

6. มื้อเช้าเน้นหนักอาหารไฟเบอร์สูง

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ และหากจะให้มื้อเช้าช่วยเสริมระบบขับถ่ายด้วยก็ต้องเลือกกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ผักและผลไม้ นม น้ำผลไม้

7. ออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายเยอะ ๆ

    เพื่อร่างกายที่แข็งแรงก็ควรต้องออกกำลังกายเป็นประจำ แต่สำหรับคนที่อยากให้สุขภาพการขับถ่ายสตรองมาก ๆ ลองซิทอัพอย่างน้อยวันละ 40 ครั้ง หรือวิ่งเหยาะ ๆ วันละครึ่งชั่วโมง และนั่งยอง ๆ ให้หน้าขากดหน้าท้อง เพราะนี่คือท่าสำคัญของมนุษย์ ที่ธรรมชาติสร้างท่านั่งยอง ๆ มาให้เรา ก็เพื่อไว้สำหรับการถ่ายหนัก เพราะแรงกดจากหน้าขาของเราจะกดลงพอดีกับตำแหน่งของลำไส้ใหญ่

          ทว่าหากไม่มีเวลาออกกำลังกายจริง ๆ การลุกขึ้นเดินไป-มาก็ช่วยได้ เพราะจะทำให้ไส้บีบตัวดี สักพักไส้จะบีบรีดเอาอุจจาระที่คั่งค้างออกมา แล้วเราจะรู้สึกปวดเบ่งอีกที

8. นั่งให้ถูกท่า

อย่างที่บอกว่าท่านั่งยอง ๆ คือท่าที่ช่วยให้ถ่ายคล่องมากที่สุด แต่หากใครใช้ชักโครก วิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือการเปลี่ยนท่านั่งชักโครกเสียใหม่ จากที่เรานั่งไปเหมือนท่านั่งเก้าอี้ปกติ ให้เราเพิ่มเก้าอี้ตัวเล็กรองขาทั้ง 2 ข้าง ให้เปรียบเสมือนนั่งยองๆ เท่านี้ก็จะถ่ายสะดวก หมดปัญหาถ่ายยากแล้ว

9. ฝึกเข้าห้องน้ำให้ตรงเวลา

ตื่นให้เช้ากว่าเดิมอีกนิด และพยายามเข้าห้องน้ำในช่วงไม่เกิน 07.00 น. หรือจะเลทกว่านั้นก็ได้ แต่ควรลุกมาเข้าห้องน้ำในเวลานี้ให้ได้เป็นประจำ เพื่อฝึกร่างกายให้ขับถ่ายอย่างเป็นเวลา

10. อย่าเครียด

ความเครียดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แถมท้องยังผูกอีกด้วย ฉะนั้นตอนที่นั่งขับถ่ายก็พยายามทำจิตใจให้โปร่งสบาย ปราศจากความเครียดเข้าไว้เป็นดี

 

ผลไม้ช่วยขับถ่าย ท้องผูก ขับถ่ายยาก อย่างงี้ต้องแก้ด้วยการเติมไฟเบอร์ให้ร่างกายด้วยผลไม้ช่วยขับถ่าย

1. กล้วยน้ำว้าสุก

2. มะละกอ

3. มะขาม

4. ลูกพรุน

5. แอปเปิลเขียว

6. ส้ม

7. มะม่วงสุก

8. สับปะรด

9. แก้วมังกร

 

 นอกจากข้อมูลที่นำเสนอไปข้างต้นแล้ว ก็ควรดูแลสุขภาพในส่วนอื่นๆ ร่วมกันด้วย เช่น ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก-ผลไม้ แต่ก็กินให้ครบ 5 หมู่พื้นฐาน ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่อั้นเมื่อต้องการถ่ายหนัก-ถ่ายเบา

 

MW Wellness เรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดูแลลำไส้ หรือล้างสารพิษในสำไส้

ปรึกษา ฟรี! สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line: @mw-wellness

Tel: 096-081-2533, 02-276-5093


NEWS

สมัครรับข่าวสารต่างๆ

phone line chat_facebook