เหตุผลที่ยังลดน้ำหนักไม่ได้ซะที หรือพูดง่ายๆ คือสาเหตุผลที่ยัง “ลดอ้วน” ไม่ได้ ลองมาดูกันนะคะว่าคุณอยู่ใน7 ข้อที่ว่านี้หรือเปล่า
1.เลือกควบคุมอาหารอย่างเดียว แต่ไม่ได้ออกกำลังกาย
การลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ต้องทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง ทั้งการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหาร เริ่มต้นการควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียว อาจช่วยในเรื่องของน้ำหลักที่ลดลงได้บ้าง แต่ไม่สามารถช่วยเรื่องสัดส่วนรูปร่างให้กระชับ และมีกล้ามเนื้อสวยๆ อย่างที่ต้องการได้ อีกทั้งยังไม่สามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินที่อยู่ในร่างกายได้มากพอ
2.ออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ควบคุมการกินอาหาร
การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ควบคุมอาหาร ก็อาจเป็นที่มาของคำว่า “หมูแข็งแรง” ได้เช่นกัน นั่นคือมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น แต่น้ำหนัก และสัดส่วนก็ยังไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังเสี่ยงอ้วนมากกว่าเดิม เพราะอาจคิดว่าเราออกกำลังกายหนักแล้ว จะกินเท่าไรก็ได้โดยไม่ต้องใส่ใจมาก คนที่มีค่าไขมัน และน้ำตาลในเลือดสูง แต่รูปร่างผอม ยิ่งอันตรายกว่าคนที่มีรูปร่างอ้วนหลายเท่า เพราะอาจกินโดยไม่ได้ระมัดระวังสุขภาพร่างกายของตัวเองมากนัก
3.ใช้วิธีอดอาหาร
การอดอาหาร เป็นวิธีที่ผิดเป็นลำดับต้นๆ ของการลดความอ้วน เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้ระบบย่อยอาหาร ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ รวนแล้ว ยังอาจเสี่ยงขาดสารอาหาร และเสี่ยงโรคอันตรายอีกสารพัด ดังนั้นควรจำเอาไว้ว่า อย่าใช้วิธีอดอาหาร ให้รับประทานอาหารตามปกติ แต่ควบคุมปริมาณให้น้อยลง และจำกัดประเภทของอาหารที่รับประทาน โดยลดการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น แป้ง ไขมันจากสัตว์ และน้ำตาล ของหวาน ให้น้อยลงจะดีกว่า
4.ออกกำลังกายแต่แบบเดิมๆ
การออกกำลังกายแบบเดิมๆ อาจทำให้ร่างกายคุ้นชินกับกิจกรรมที่ทำแบบเดิมๆ จึงทำให้น้ำหนักลดได้ตามต้องการแต่เพียงช่วงแรก นอกจากนี้ ยังอาจเสี่ยงสร้างกล้ามเนื้อได้แค่ในส่วนของอวัยวะที่ใช้อยู่บ่อยๆ โดยอวัยวะอื่นๆ ไม่ได้รับความใส่ใจเท่าที่ควร จึงทำให้การเผาผลาญพลังงานเป็นไปได้ไม่เต็มที่ในทุกส่วนของร่างกาย จึงแนะนำว่าควรสลับเปลี่ยนหมุนเวียนออกกำลังกายในหลายๆ ส่วนของร่างกายไปเรื่อยๆ และออกกำลังกายอย่างหลากหลายสลับกันไป เช่น ฟิตเนสบ้าง วิ่งในสวนบ้าง เล่นกีฬาบ้าง หรือใครที่เล่นฟิตเนสก็ใช้เครื่องเล่นในฟิตเนสให้หลากหลาย
5.คิดว่าการกินอาหารเช้าควบคู่กับการกินตรงเวลาทุกมื้อจะช่วยลดน้ำหนัก
การกินอาหารเช้าเป็นเรื่องที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนักได้โดยตรง เป็นเพียงความเชื่อที่ว่าการกินอาหารเช้า จะทำให้เราไม่หิวระหว่างวัน และไม่เผลอกินอาหารกลางวัน หรืออาหารเย็นมากเกินความจำเป็น การควบคุมปริมาณ และประเภทของอาหารในทุกมื้อ เป็นคำตอบของการลดน้ำหนักได้ดีกว่า
6.คิดว่าออกกำลังกายแบบไหนก็ลดน้ำหนักได้เหมือนกัน
การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี แต่การออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก ไม่ใช่การออกกำลังกายในทุกประเภทที่จะช่วยเรื่องนี้ได้ โดยการออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง แอโรบิก ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ จะช่วยเรื่องลดน้ำหนักได้มากกว่า และตรงจุดกว่า ในขณะที่การออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง เช่น ยกน้ำหนัก เล่นเครื่องเล่นที่เน้นการสร้างกล้ามเนื้อในฟิตเนส จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่อยากลดน้ำหนักก็ต้องเล่นเวทเทรนนิ่งด้วย เพราะการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น จะช่วยให้เราออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอได้มีประสิทธิภาพ และเผาผลาญพลังงานส่วนเกินที่เราอยากกำจัดมันออกไปได้มากขึ้นด้วย
7.คิดว่าออกกำลังกายเมื่อไรก็ได้ ว่างเมื่อไรก็ค่อยทำ
หากเราเลือกที่จะออกกำลังกายแบบตามใจ คือ อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ ไปวิ่งวันจันทร์กับพุธ แล้วไปวิ่งอีกทีก็พุธหน้าวันเดียว วิ่งอีกทีวันจันทร์ การออกกำลังกายแบบทำๆ หยุดๆ ไม่มีเวลาออกกำลังกายที่แน่นอน อาจทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายเท่าที่ควร เพราะขาดความต่อเนื่องสม่ำเสมอ เหมือนร่างกายต้องเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ทุกครั้งนั่นเอง
3 ข้อหลัก ที่จะทำให้การออกกำลังกายได้ผล
1.ควบคุมอาหารอย่างจริงจัง
ลดการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง เช่น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว ขนมปังเบเกอรี่ต่างๆ น้ำหวาน น้ำอัดลม เนื้อสัตว์ติดไขมัน ฯลฯ แล้วทดแทนด้วยผักผลไม้ โปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลาลอกหนัง ถั่ว ธัญพืชต่างๆ ให้มากขึ้น
2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
โดยออกกำลังกายเน้นคาร์ดิโอที่ใช้ทุกส่วนของร่างกาย และทำให้หัวใจเต้นแรง จากนั้นให้เวลาที่เหลือในการเล่นเวทเทรนนิ่ง เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆ ต่อไป ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และ 3 – 4 ครั้งต่อสัปดาห์
3.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
เพราะการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายพร้อมกับการทำกิจกรรมหนักๆ ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะทำงาน หรือการออกกำลังกาย หากพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจเป็นลม หน้ามืดระหว่างออกกำลังกายได้ (ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หัวใจ ปอด หอบหืด ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพื่อหาวิธีออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสุขภาพของตัวเองที่สุด)
ที่มา : ข้อมูลจาก สสส.