ปัจจุบันนี้ ก็มี โรคระบาดต่าง ๆ มากมาย ที่ส่งผล ต่อการใช้ชีวิต ในปัจจุบันของเรา รวมไปถึง โรคฝีดาษลิง ( Monkeypox ) ที่ถือว่า อันตราย เราต้องรู้ไว้ เพื่อป้องกัน ได้อย่างถูกวิธี และเพื่อ เป็นการป้องกัน ไม่ให้โรคร้าย ๆ นี้ แพร่ไปสู่คนอื่น ๆ อีกด้วย
โรค ฝีดาษลิง ( Monkeypox ) นั้นคืออะไร ?
โรคไข้ฝีดาษลิง หรือว่า ไข้ทรพิษลิง ( Monkeypox ) นั้นเกิดจาก ไวรัส Othopoxvirus ที่จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน กับไวรัสโรคไข้ทรพิษ ( Smallpox ) โดยได้พบเชื้อ ในสัตว์ตระกูลลิง รวมถึงสัตว์ฟันแทะ อาทิ หนู, กระรอก, กระแต เป็นหลัก โดยค้นพบโรคนี้ เป็นครั้งแรกในลิง ซึ่งไปรับเชื้อมาอย่างโดยบังเอิญ จึงเป็นที่มา ของชื่อโรค ว่า “ฝีดาษลิง” นั่นเอง
โรคฝีดาษลิงนั้น แพร่ระบาดอยู่ทั่ว ๆ ไป ในทวีปแอฟริกา จนนั่นกลายเป็น โรคประจำถิ่น ( Endemic disease ) ที่พบอัตราการเสียชีวิต 1-10% ทั้งนี้ในการเสียชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลัก ๆ ของ โรคฝีดาษลิง นั้นแบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลัก คือ
- สายพันธุ์ Congo Basin พบอัตราของการเสียชีวิต 10%
- สายพันธุ์ West African พบอัตราของการเสียชีวิต 1%
“ฝีดาษลิง” แตกต่างจาก “ไข้ฝีดาษ - ไข้ทรพิษ” อย่างไร ?
โรคฝีดาษ หรือว่า ไข้ทรพิษ (Smallpox) จัดเป็นกลุ่มโรคไข้ออกผื่น ที่กินระยะเวลานานถึง 2-4 สัปดาห์ เช่นเดียวกันกับไข้ฝีดาษลิง แม้ว่าจะเป็นไวรัส Othopoxvirus ในกลุ่มเดียวกัน แต่ถือเป็นคนละชนิดกัน โดยที่ลักษณะการติดต่อ รวมถึงความรุนแรงของโรค ก็พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ซึ่งเชื้อไวรัส ของโรคไข้ทรพิษ นั้นจะอยู่ในคนเป็นหลัก โดยที่จะมีการติดต่อ จากคนสู่คนเท่านั้น โดยการติดต่อผ่านการหายใจ ซึ่งติดต่อกันง่ายมาก ๆ โดยผ่านละออง ฝอยเล็ก ๆ ก็แพร่กระจายได้อย่างเป็นวงกว้าง โดยที่พบว่า ผู้ป่วยโรคไข้ทรพิษ นั้นมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 30% แตกต่างจากโรคไข้ฝีดาษลิง ที่ติดต่อกันผ่านทางการสัมผัส (Contact) มีหลักฐานยืนยันชัดว่า โรคไข้ทรพิษ นั้นเป็นโรคที่มีการแพร่ระบาด มาอย่างยาวนาน นานมากกว่า 1,000 ปี แต่ปัจจุบันนี้ ก็ไม่พบผู้ป่วยโรคไข้ทรพิษแล้ว เนื่องจากการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ โดยประเทศไทยนั้นได้ยุติการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษ มาตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งปัจจุบัน ก็ได้มีการเก็บตัวอย่างเชื้อไข้ทรพิษ เอาไว้สำหรับเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น
โรคฝีดาษลิง ต่างจากโรคฝีดาษทั่ว ๆ ไป โดยมีอาการ ที่สามารถสังเกตได้ คือ หลังจากที่สัมผัสเชื้อไปแล้ว ประมาณ 12 วัน ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการแสดง ได้แก่
1. ระยะก่อนออกผื่น ( Invasion Phase )
- เริ่มด้วยการมีไข้ ปวดหัว, ปวดตัว, ปวดหลัง, อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโต
- โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอาการต่อมน้ำเหลืองโต เป็นอาการที่สังเกตได้ชัดเจน ของโรคฝีดาษลิง ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่น ๆ ที่มีตุ่มน้ำตามมา อาทิ โรคอีสุกอีใส (Chickenpox), โรคหัด (Measles)
- อาจมีอาการเกี่ยวกับ ในระบบทางเดินอาหาร อาการท้องเสีย อาเจียน และอาการในทางระบบหายใจ อาทิ อาการเจ็บคอ ไอ เหนื่อย ได้อีกด้วย
2. ระยะออกผื่น (Skin Eruption Phase)
- หลังจากที่มีไข้ประมาณ 1-3 วัน ก็จะเริ่มมีอาการ ที่แสดงออกทางผิวหนัง มีลักษณะตุ่มผื่นขึ้น โดยที่เป็นตุ่มที่มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ โดยเริ่มจากรอยแดงจุด ๆ มาเป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มน้ำใส ตุ่มน้ำหนอง และจากนั้น ก็จะแห้งออกหรือว่าแตกออกแล้วหลุด เรียงไปตามลำดับ
- โดยตุ่มมักจะหนาแน่น ในที่บริเวณใบหน้า และแขน ขา มากกว่าบริเวณร่างกาย
- ในระยะออกผื่น ซึ่งผื่นจะกลายเป็น สะเก็ดคลุม แห้งและก็หลุดออกมา โดยใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์
- โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว อาการป่วย นั้นจะกินเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยส่วนใหญ่สามารถหาย จากโรคนี้เองได้ แต่ในกรณีผู้ป่วย ที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโรคประจำตัว อาจมีภาวะแทรกซ้อน อาทิ ปอดบวม หรือว่าเสียชีวิตได้
วิธีในการป้องกัน โรคฝีดาษลิง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส กับสัตว์ที่ป่วย สัตว์ที่เป็นพาหะโดยตรง โดยเฉพาะลิง และสัตว์ฟันแทะ
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่ หรือว่าเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสัตว์ หรือสิ่งของสาธารณะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง เลือก บาดแผล น้ำเหลืองของสัตว์
- ใส่หน้ากากอนามัย หากต้องเดินทางไปยังสถานที่ ที่เสี่ยงมีการแพร่ระบาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น แผล ตุ่มหนอง หรือตุ่มน้ำใส จากผู้มีประวัติเสี่ยง หรือว่า สงสัยว่าติดเชื้อ กรณีที่สัมผัสเชื้อไปแล้ว ควรฉีดวัคซีนป้องกัน ในกรณีที่ยังไม่เกิน 14 วัน
อ่านบทความเพิ่มเติม
MW-Wellness
205 29-30 ถ. รัชดาภิเษก แขวงดินแดง
เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
02-276-5093, 02-276-5076
clinic.mw@gmail.com
Opening Hours :
Mon - Sun 10:00 - 19:00Mon - Sun 10:00 - 19:00
Social Media :