เมื่อคุณได้ยิน เสียงในหู ตลอดเวลา บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติ คิดว่าตัวเองหูอื้อ สักพักคงหาย แต่อย่าชะล่าใจค่ะ เสียงในหู สามารถส่งผลต่อ สุขภาพ ได้ และอาจเป็นสัญญาณเกี่ยวกับโรคในสมองก็เป็นได้
หูเป็นอวัยวะสำคัญที่เอาไว้ฟังเสียงต่าง ๆ ในชีวิต เมื่อมีเสียงรบกวนในหูหลายคนมักชะล่าใจ และคิดว่าหายได้เอง จึงปล่อยไว้จนรำคาญ ทุกข์ทรมาน และอาจร้ายแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อมีเสียงรบกวนในหูจนผิดสังเกต การพบแพทย์โดยเร็วที่สุดจะช่วยให้ทำการรักษาได้ทันท่วงที และลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับหู อันจะส่งผลต่อ สุขภาพ
เสียงรบกวนในหู
เสียงรบกวนในหูเป็นเสียงที่ได้ยินโดยไม่มีแหล่งกำเนิดเสียงจากภายนอก มีลักษณะแตกต่างกันออกไป ได้แก่
- เสียงฮึมฮัม
- เสียงพรึบพรับ
- เสียงสะท้อน เสียงก้องในหู
- เสียงหึ่ง ๆ
- เสียงดังคลิก
- เสียงตุ้บ ตุ้บ เสียงฟู่ ตามจังหวะหัวใจ หรือชีพจร
- เสียงคล้ายเครื่องจักร
- เสียงจิ้งหรีดร้อง
- เสียงลม
- เสียงวี้ด ๆ
ซึ่ง เสียงในหู ของแต่ละคนจะแตกต่างกันตามระดับเสียง มีตั้งแต่เสียงต่ำไปจนถึงเสียงสูง สามารถเกิดขึ้นได้กับหูข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง และจะได้ยินเสียงชัดเจนที่สุดเมื่ออยู่ในสถานที่เงียบ ๆ
ปัญหาของเสียงรบกวนในหูที่ชัดเจน คือ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือทำให้มีปัญหา สุขภาพ อื่น ๆ ตามมา เช่น หงุดหงิด อ่อนเพลีย เครียด วิตกกังวล มีปัญหาด้านความจำ หรือการนอนหลับ เป็นต้น
ต้นเหตุของ เสียงในหู
ตัวการที่ทำให้เกิดเสียงรบกวนในหูเกิดได้จากหลายปัจจัย และหลายสาเหตุ ได้แก่
- ขี้หูอุดตัน เนื่องจากการสะสมของขี้หูปริมาณมาก
- แก้วหูทะลุ เช่น หูน้ำหนวก
- แก้วหูอักเสบ จากหวัด ทำให้ท่อที่ต่อไปหูชั้นกลางอุดตัน เมื่อกลืนน้ำลาย ปรับลมไม่ได้จะเกิดอาการตื้อที่หู มีเสียงรบกวนในหูตามมาได้
- อาการทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในสมอง เป็นต้น
- ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดแข็งตัว เส้นเลือดแดงโป่งพอง เป็นต้น
- อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เกิดความเสื่อมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นประสาทหูที่เสื่อมลง
- เสียงดัง ติดต่อกันเป็นเวลานาน จากงานคอนเสิร์ต เครื่องจักร อาวุธปืน ประทัด ฯลฯ
- ยา บางชนิดมีผลข้างเคียง ทำให้มีเสียงรบกวนในหูได้
- การเปลี่ยนแรงดัน เช่น ดำน้ำลึกเกินไปแล้วขึ้นที่สูง ร่างกายปรับแรงดันไม่ทัน กระทบแรงดันในหูชั้นกลาง ส่งผลถึงการทำงานของหูชั้นใน ทำให้เกิดเสียงรบกวนในหู
- สาเหตุอื่น ๆ กระดูกในหูมีการงอกผิดปกติ, ความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกร, ไซนัสอักเสบ, หูติดเชื้อ, โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
การตรวจวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยเสียงรบกวนในหูสามารถทำได้โดย
- ซักประวัติ ระยะเวลาที่มี เสียงรบกวนในหู เสียงสูง หรือเสียงต่ำ เสียงดังกลางวัน หรือกลางคืน
- ตรวจการได้ยิน โดยเครื่องไฟฟ้า เพื่อดูการบกพร่องทางการได้ยิน ( Audiometry )
- ตรวจแยกเสียง และการได้ยินของปลายประสาทรับเสียงในหูชั้นใน โดยวัด SISI Score ( Recruitment Test )
- ตรวจแยกเสียง และการได้ยินส่วนประสาทรับเสียง ความล้าของสมอง ( Tone Decay Test )
- ตรวจวัดการได้ยินโดยวิธีพิเศษ เพื่อแยกตำแหน่งรอยโรค ( Bekesy Audiomety )
- ตรวจวัดการได้ยินในระดับก้านสมอง ( Auditory Brainstem Response )
รักษาเสียงรบกวนในหู
วิธีการรักษาเสียงรบกวนในหูจะรักษาตามสาเหตุที่แท้จริงเป็นหลัก ได้แก่
- เลี่ยงสิ่งกระตุ้น ได้แก่ เสียงดัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- เครื่องช่วยฟัง ช่วยให้ได้ยินชัดเจนขึ้น และลดอาการเสียงรบกวนในหูได้
- กลบเสียงในหู ด้วยการเปิดเพลงเบา ๆ เปิดวิทยุ
การฟื้นฟูบำบัดด้วยยารักษา
- ยาคลายกังวล ยาขยายหลอดเลือด ยานอนหลับ ยาบำรุงประสาทหู ยาลดความไวประสาทหู เป็นต้น โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางอย่างเคร่งครัด
- การผ่าตัดผูกเส้นเลือด ผ่าตัดเนื้องอกในสมอง
ดูแลสุขภาพหู
การดูแลสุขภาพหูเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ ซึ่งทำได้ไม่ยาก ดังนี้
- อย่าฟังดังเกินไป / ฟังนานเกินไป
- ไม่ควรใส่หูฟังเวลานอนหลับ หรือในที่เสียงดังมากเนื่องจากต้องเร่งเสียงให้ดังขึ้น
- อย่าปั่น หรือแคะหู
การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงให้พบคือหัวใจสำคัญของการรักษาเสียงรบกวนในหู ดังนั้น หากได้ยินเสียงรบกวนในหูแล้วส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางโดยเร็ว เพราะการรักษาเสียงรบกวนในหูภายใน 2 สัปดาห์นับจากวันแรกที่มีอาการช่วยเพิ่มโอกาสในการหายจากความผิดปกติได้มากยิ่งขึ้น และลดผลเสียที่จะส่งผลต่อ สุขภาพ ได้อีกด้วย
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม
โรคร้าย ที่มาพร้อมกับ น้ำท่วม
ปวดท้อง ประจำเดือน อย่าชะล่าใจ