สัญญาณอันตรายก่อนเป็นเบาหวาน
เบาหวานเป็นโรคที่ใครๆก็รู้จัก และส่วนมากจะเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อยว่าสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสหวาน หรือรสจัดมากเกินไป รวมไปถึงแป้งต่างๆ และมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน
แต่สิ่งที่อีกหลาย ๆ คนไม่ทราบ คือ สัญญาณอันตรายที่จะเตือนภัยกับเราว่า เรากำลังจะเป็นโรคเบาหวาน แล้ว อาการเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตได้อย่างไร เรามีข้อมูลมาฝากค่ะ
ทำความรู้จักโรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการ ขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็น ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
ความสำคัญของอินซูลินต่อร่างกาย
อย่างที่บอกไปในตอนแรกที่เริ่มทำความรู้จักกับโรคเบาหวานว่าอินซูลินนั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม
โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยปกติแล้ว การเกิดโรคเบาหวานนั้นจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนที่ถูกสร้างมาจากตับ คือ ฮอร์โมนอินซูลิน โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ภายในอวัยวะทั่วร่างกาย อาทิ สมอง , ตับ , ไต , หัวใจ เพื่อให้เซลล์นั้นนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานในการทำงาน แต่หากกระบวนการสร้างฮอร์โมนอินซูลินเกิดมีความผิดปกติ ตับสร้างอินซูลินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าตับจะสร้างฮอร์โมนได้ในระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน เมื่อความผิดปกติทั้ง 2 อย่างเกิดขึ้น ก็จะทำให้น้ำตาลคั่งในเลือดในจำนวนที่มาก ทำให้ความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นลุกลามจนกลายเป็น โรคเบาหวาน ในที่สุด
ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะรู้ว่าโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดความผิดปกติของกระบวนการใดในร่างกาย แต่สาเหตุของการเกิดก็ยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่ามันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนที่เกิดจากทั้งพันธุกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรา (Lifestyle) ประกอบกัน
โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร ?
อาการหลัก ๆ ที่สื่อว่าคน ๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่น ๆ ประกอบ อาทิ
-เหนื่อย อ่อนเพลีย
-ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
-ตาแห้ง
-มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบ ๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
-ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
-เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่าง ๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
-สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้
10 สัญญาณอันตราย โรคเบาหวาน
1.อ่อนเพลียง่ายทั้ง ๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
2.ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
3.ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
4.หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
5.ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
6.ปวดขา ปวดเข่า
7.ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
8.เป็นฝีตามตัวบ่อย ๆ
9.อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
10.แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที
ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ?
โรคเบาหวาน นั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มีญาติสายตรงอย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน รุ่นลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นถึงร้อยละ 50
นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่า ๆ กัน
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานนั้นมีอยู่หลายข้อ ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันที่เรานั้นอาจไม่ทันได้ให้ความสำคัญ หรือหลงลืมไป มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง
-เรื่องของพันธุกรรม อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่มีครอบครัวสายตรง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องที่เป็นท้องเดียวกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เราที่เป็นรุ่นต่อมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้สูงกว่าคนทั่ว ๆ ไป
-ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกินส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ดื้อต่ออินซูลิน
-ไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากว่าการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ อีกทั้งยังช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้ รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย
-เรื่องของเชื้อชาติ ทั้งนี้มีข้อมูลพบว่าคนในบางเชื้อชาติเป็นเบาหวานสูงกว่าคนในชาติอื่น ๆ อาทิ ในคนเอเชียและคนผิวดำมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนชาติอื่น ๆ
-เรื่องของอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นั่นอาจมาจากระบบการทำงานของเซลล์ตับอ่อนเสื่อมถอย หรือขาดการออกกำลังกาย
-การมีไขมันในเลือดสูง
-การมีความดันโลหิตสูง
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้น ๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น
อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่อนเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง คราวนี้เราลองมาดูกันลึกลงไปอีกนิดว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการใดแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้อีกบ้าง
ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 70 – 110 มก.% โดยหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเข้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 140 มก.% ซึ่งที่มีระดับน้ำตาลไม่มากก็อาจจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานนั้นทำได้ด้วยการเจาะเลือด มีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้
-คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม
-ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ
-มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
-ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน
-อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย
-เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
-การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง
-เกิดอาการชาตามส่วนต่าง ๆ ไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อันเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ส่งผลให้เส้นประสาทเกิดการเสื่อมสภาพ เป็นแผลที่เท้าง่าย เพราะไม่มีความรู้สึก
-อาจเกิดการอาเจียน
เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้ระยะหนึ่ง ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับหลอดเลือดเล็ก เรียกว่า Microvacular ซึ่งหากมีโรคแทรกซ้อนนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคไต , เบาหวานเข้าตา นอกจากนั้น หากหลอดเลือดแดงใหญ่เกิดการแข็งตัว จะเรียกว่า Macrovascular ที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ , เป็นอัมพาต , หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า Neuropathic ที่ทำให้ขาชา , กล้ามเนื้ออ่อนแรง และประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้
หากมีอาการเหล่านี้ บวกกับพฤติกรรมในการทานอาหารที่ไม่ค่อยระวังเรื่องแป้ง และน้ำตาล คุณอาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้สูง เพราะฉะนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด และทำการรักษาต่อไปค่ะ
โรคเบาหวาน วินิจฉัยอย่างไรบ้าง
ในเบื้องต้น เมื่อเราเดินทางไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะเริ่มต้นสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย รวมไปถึงคนในครอบครัว จากนั้นก็จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลก็จะมีอยู่หลายวิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้
วิธีที่ 2 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
วิธีที่ 3 : การทดสอบการตอบสนองของฮอร์ดมนอินซูลินที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
วิธีที่ 4 : การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี
หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย
อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม
MW-Wellness
205 29-30 ถ. รัชดาภิเษก แขวงดินแดง
เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
02-276-5093, 02-276-5076
clinic.mw@gmail.com
Opening Hours :
Mon - Sun 10:00 - 19:00Mon - Sun 10:00 - 19:00
Social Media :